การเป็นคนแห่งการนมัสการ
นักดนตรีและนักร้อง ต้องเป็นคนที่พัฒนาชีวิตของตนเองเพื่อพระเจ้า และเมื่อเติบโตขึ้นแล้ว ทำอย่างไรจะรักษาไว้ได้ตลอดไป เราจะพัฒนาชีวิตที่จะเป็นคนแห่งการนมัสการได้อย่างไร คริสเตียนทั่วไป ผู้นำนมัสการ นักร้อง นักดนตรี ต้องการจะเป็นคนแห่งการนมัสการ ไม่ใช่เพียงเป็นผู้เชื่อเท่านั้น การนมัสการไม่ใช่การมีส่วนในการนมัสการ แต่เป็นวิถีชีวิตของแต่ละคน การนมัสการเป็นเรื่องของบุคคล มิใช่ของที่ประชุมทั้งหมด การนมัสการเป็นเรื่องของความสัมพันธ์กับพระเจ้า หากที่ประชุมของเราเป็นคนแห่งการ นมัสการอยู่แล้ว การกระตุ้นหรือการหนุนใจให้นมัสการก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ไม่มีความจำเป็นต้องเร้าใจเลย การนมัสการเป็นสิ่งที่ต้องเคลื่อนมาจากภายใน แล้วออกมาภายนอก จุดเริ่มต้นของการนมัสการอยู่ที่ชีวิตภายใน ไม่ใช่ทำโน่นทำนี่ John Mc Arthur กล่าวว่า “การนมัสการในชีวิตของคริสเตียนเป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า เป็นเหมือนรถยนต์ที่ต้องมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนจึงสามารถใช้งานได้ รถยนต์มีเครื่องยนต์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญฉันใด ชีวิตคริส-เตียนก็มีการนมัสการเป็นแรงขับเคลื่อนด้วยฉันนั้น” การนมัสการเริ่มต้นจากที่บ้าน วิถีชีวิตส่วนตัวในแต่ละวัน ไม่ใช่วันอาทิตย์ ที่โบสถ์ 10.00 น. - เปิดสวิทช์ , 12.00 น. ปิดสวิทช์
การนมัสการไม่ต้องการบทเพลง ไม่ต้องการคำพูดใดใด เพราะมาจากหัวใจ มาจากการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า การนมัสการไม่ต้องมีการกระตุ้นก็ได้ ถ้าคนเป็นคนแห่งการนมัสการ / ไม่ต้องมีการบังคับให้นมัสการ เป็นเหมือนข้อมูลที่ถูกบันทึกลงในฮาร์ทดิสก์ และถูกส่งให้เปิดเผยบนจอมอนิเตอร์ ด้วยแรงบันดาลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายใน คนแห่งการนมัสการจะถูกกระตุ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ร้องเพลงออกมา เหมือนกระแสน้ำไหลล้นออกมาจากใจ (พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพลง เรื่องดนตรี) พระบิดาไม่เคยร้องเพลงนมัสการ เพราะการนมัสการเป็นเรื่องของมนุษย์
การนมัสการเป็นเรื่องของการถวายชีวิตให้พระเจ้า รม.12:1-2 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม•
การนมัสการเป็นเรื่องของความต่อเนื่องในการดำเนินชีวิต การนมัสการมีไว้สำหรับมนุษย์ พระเจ้าไม่ต้องการการนมัสการจากมนุษย์ เพราะทรงห่วงใยตนเองว่าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ จริงๆ แล้วทรงมีทูตสวรรค์ล้อมรอบพระองค์เพื่อจะนมัสการอยู่แล้ว เพราะทรงสร้างทูตสวรรค์ขึ้นมาให้นมัสการ แต่พระเจ้าต้องการมนุษย์ที่จะนมัสการ การนมัสการไม่มีเวลาเปิด-ปิด สดด.34:1 บอกเราว่า ปากจะสรรเสริญเรื่อยไป “ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้าตลอดไป คำสรรเสริญพระองค์อยู่ที่ปากข้าพเจ้าเรื่อยไป” เราสามารถสรรเสริญที่โบสถ์ ที่บ้าน ที่ห้องครัว ในรถ ในสวน ในห้องนอน ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าวันละ 7 ครั้ง ใน สดด.119:164 “ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์วันละเจ็ดครั้ง เหตุเรื่องกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์” -- ตื่นนอน – อาหารเช้า – Praise Break – อาหารกลางวัน – Afternoon Break – อาหารเย็น - ก่อนนอน
เรากลายเป็นคนที่มีพระเจ้าเป็นทุกส่วนของชีวิต ไม่ใช่บางส่วน การนมัสการเป็นเรื่องหลักในชีวิตคริสเตียน ทำทุกอย่างด้วยใจสรรเสริญ สดด.35:28 ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าตลอดวัน “แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะบอกเล่า ถึงความชอบธรรมของพระองค์ และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ”สดด.145:1 ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าตลอดไป “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระมหาราชา ข้าพระองค์จะเยินยอพระองค์ ถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์เป็นนิจกาล”
หากคนมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต สิ่งต่างๆ รอบตัวก็ไม่มีความสำคัญ สิ่งที่เขาคำนึงคือพระเจ้า ไม่คำนึงว่า ใช้เวลานานไป ยืนนานไป ร้อนไป ดังไป เบาไป ดนตรีเล่นผิดเพี้ยน อย่านมัสการพระเจ้าแบบธรรมบัญญัติ ตัวอย่างเช่น พลับพลาโมเสสมีกฎมีระเบียบมากมาย มีสถานที่เจาะจง มีเวลาเจาะจง ยน.4:23-24 บอกเราว่า การนมัสการไม่ใช่ Where / When แต่เป็น Who / How “แต่
วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว
คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและ
ความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเคลื่อนไหวภายในชีวิตของคน ให้
มีใจปรารถนาที่จะนมัสการพระบิดาทำอย่างไรที่จะทำให้ทีมนมัสการเป็นคนแห่งการ
นมัสการพระเจ้า เป้าหมายของทีมนมัสการคือ ทุกคนเป็นผู้ที่นมัสการพระเจ้า ถ้าบนเวทียังไม่ได้เป็นผู้ที่นมัสการพระเจ้า เขาจะสร้างการนมัสการขึ้นได้อย่างไร เราสร้างเสียงแห่งการนมัสการได้ แต่เราอาจไม่ได้นมัสการ จะเป็นประโยชน์อย่างไร เราสามารถจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครมีชีวิตที่นมัสการหรือเปล่า ให้ดูที่เมื่อเขาไม่ได้เล่นดนตรีเขานมัสการหรือเปล่าจริงๆ แล้วทุกคนในทีมนมัสการเป็นผู้นำนมัสการ โดยยืนอยู่ข้างหลังเครื่องดนตรีของตน
เราจะพัฒนาชีวิตแห่งการเป็นคนที่นมัสการได้อย่างไร
ต้องใช้เวลาอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า เขาต้องรักที่จะอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า เขาต้องคุ้นเคยที่จะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ใด เขาเองคุ้นเคยกับที่นั่น เพื่อจะสามารถพาคนไปที่นั่นได้ นักดนตรีต้องรู้ว่า เขาจะแสวงหาและพบพระเจ้าได้อย่างไร รู้ว่าพระองค์ต้องการอะไรในรอบนมัสการหนึ่งๆ นัก
ดนตรีต้องรักที่จะเข้าร่วม ชื่นชมยินดีที่จะเข้าร่วมในการทรงสถิตของพระเจ้า
เป็นความสุขความยินดี ณ ที่นั่น
จิตใจของนักดนตรีต้องเป็นใจที่ไม่ว่างเปล่า / อุ่นๆ ซึ่งพระเจ้าจะคายออกจากปาก วว.3:15-16 "เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็น แต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา"
เราจะพัฒนาชีวิตแห่งการเป็นคนที่นมัสการได้อย่างไร
เราจะพัฒนาชีวิตแห่งการเป็นคนที่นมัสการได้อย่างไร
1. ต้องใช้เวลาอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า
- เขาต้องรักที่จะอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า เขาต้องคุ้นเคยที่จะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ใด เขาเองคุ้นเคยกับที่นั่นเพื่อจะสามารถพาคนไปที่นั่นได้
- นักดนตรีต้องรู้ว่า เขาจะแสวงหาและพบพระเจ้าได้อย่างไร รู้ว่าพระองค์ต้องการอะไรในรอบนมัสการหนึ่งๆ
- นักดนตรีต้องรักที่จะเข้าร่วม ชื่นชมยินดีที่จะเข้าร่วมในการทรงสถิตของพระเจ้า เป็นความสุขความยินดี ณ ที่นั่น
- จิตใจของนักดนตรีต้องเป็นใจที่ไม่ว่างเปล่า / อุ่นๆ ซึ่งพระเจ้าจะคายออกจากปาก วว.3:15-16 "เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา"
- นักดนตรีต้องรู้ว่า เขาจะแสวงหาและพบพระเจ้าได้อย่างไร รู้ว่าพระองค์ต้องการอะไรในรอบนมัสการหนึ่งๆ
- นักดนตรีต้องรักที่จะเข้าร่วม ชื่นชมยินดีที่จะเข้าร่วมในการทรงสถิตของพระเจ้า เป็นความสุขความยินดี ณ ที่นั่น
- จิตใจของนักดนตรีต้องเป็นใจที่ไม่ว่างเปล่า / อุ่นๆ ซึ่งพระเจ้าจะคายออกจากปาก วว.3:15-16 "เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา"
2.ต้องสุดใจกับพระเจ้า ใจจดจ่ออยู่กับพระเจ้า
- การนมัสการไม่ใช่การแสดงบนเวที
- ใส่อารมณ์ลงไปในการกระทำของเรา อารมณ์เป็นพื้นฐานของคนปกติ
- ใส่อารมณ์ลงไปในการกระทำของเรา อารมณ์เป็นพื้นฐานของคนปกติ
3.มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต
- ไม่ใช่ดนตรี ไม่ใช่กิจกรรม เป็นศูนย์กลางชีวิต
4.มีชีวิตแห่งการสรรเสริญ / รักที่จะสรรเสริญ
- ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวที่จะสรรเสริญ อฟ.5:19
5.ไม่ยึดระบบประเพณีนิยม (มธ.15 , มก.7)
- ประเพณีมักทำให้สิ่งผิดเป็นถูก และสิ่งถูกเป็นผิดเสมอ
- อย่าเป็นคนแบบธรรมบัญญัติ แต่เป็นคนมีพระคุณ
- อย่าเป็นคนแบบธรรมบัญญัติ แต่เป็นคนมีพระคุณ
6.พัฒนาทักษะให้เป็นธรรมชาติที่จะปรนนิบัติ
- พระเจ้าจะใช้เราตามขนาดทักษะของเรา จะไม่ใช้เราเกินธรรมชาติของเรา แบบนิ้วเคลื่อนที่ได้เองอย่างประหลาด
- จงเรียนรู้ที่จะเล่นโดยไม่ต้องดูโน้ตจนสามารถเผยพระวจนะได้
สรุป นักดนตรีนมัสการจะเป็นผู้ที่จุดประกายการนมัสการให้คนอื่น ดังนั้นจงเป็นคนที่เป็นผู้ที่นมัสการพระเจ้า รักที่จะอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า มีหลายคนที่หล่นไป หลุดไปจากการปรนนิบัติ เพราะเพิกเฉยต่อการพัฒนาชีวิตของตนเพื่อพระเจ้า- จงเรียนรู้ที่จะเล่นโดยไม่ต้องดูโน้ตจนสามารถเผยพระวจนะได้
แหล่งที่มา:christianclub.igetweb.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น