พระ
เยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลกที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า
พระองค์เป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนา
เป็นผู้ซึ่งคริสตชนทั่วโลกกว่าหนึ่งพันล้านคนนมัสการว่าเป็นพระเจ้า
หากจะพูดว่า "คริสตศาสนาคือพระเยซูคริสต์” ก็ไม่ผิด เพราะคริสตชนนมัสการตัวบุคคลที่ชื่อว่าเยซูคริสต์ และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้มาเกิดในสภาพมนุษย์
หากถามว่า "ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์สำคัญเพียงไรต่อความเชื่อของคริสตศาสนา"
หากถามว่า "ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์สำคัญเพียงไรต่อความเชื่อของคริสตศาสนา"
ตอบ
ได้ว่า สำคัญมาก สำคัญพอ ๆ กับความอยู่รอดของคริสตศาสนาทีเดียว
เพราะหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระเจ้าตามที่
พระองค์อ้างไว้
หรือหากเราสามารถยืนยันได้ว่าพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าจะกระทำ
แล้ว คริสตศาสนาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้
เพราะนั่นเท่ากับว่าคริสตศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหกพกลม
แต่ขณะเดียวกัน หากเราสามารถยืนยันโดยเหตุผลทั้งในทางตรรกวิทยา
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
และประสบการณ์จากชีวิตจริงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าในสภาพมนุษย์จริง ๆ
ปัญหาต่าง ๆ ที่เราคิดว่าเป็นปัญหาก็จะหมดไป เช่น "พระเจ้ามี จริงหรือ" "พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร" "มนุษย์คือใคร" "อยู่เพื่ออะไร" "กำลังจะไปไหน" เป็น
ต้น
เพราะพระเยซูคริสต์ได้สำแดงพระลัษณะของพระเจ้าให้ปรากฎชัดแล้วในประวัติ
ศาสตร์ของมนุษย์ และพระองค์ยังได้สอนถึงเรื่องต่าง ๆ
เหล่านี้ที่เราทั้งหลายสงสัยด้วย แน่นอนที่สุด
ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าดังที่พระองค์อ้างจริง ๆ
คำสอนของพระองค์ก็ต้องเป็นความจริง
ประวัติ
ศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกการแสวงหาของมนุษย์
เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิตในรูปของศาสนาต่างๆ
ความหิวกระหายในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ผลักดันให้มนุษย์ต้องการสิ่งใดสิ่ง
หนึ่งไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวนมัสการ เขาจึงแสวงหาและแสวงหา ศาสนาต่างๆ
จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่คริสต์ศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ
คือแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า
พระเจ้าในคริสต์ศาสนากลับเป็นผู้แสวงหามนุษย์และยังได้สำแดงพระองค์เองให้
ประจักษ์แก่ตามนุษย์ โดยทางพระเยซูคริสต์ในสภาพของมนุษย์ที่สมบูรณ์
สมมุติว่าคุณเป็นคนรักมด และมักใช้เวลาว่างเฝ้าสังเกตการทำงานของมดอยู่เสมอ วันหนึ่งคุณเห็นภัยอันตรายใหล้จะมาถึงมดเหล่านั้น เพราะชาวไร่คนหนึ่งกำลังขุดดินบริเวณนั้นและกำลังจะขุดเอารังมดนั้นไปด้วย ด้วยความรักมดคุณต้องการเตือนภัยที่จะมาถึง คุณตะโกนก็แล้ว ใช้ท่าทางก็แล้วแต่ไม่ได้ผล พวกมดยังคงทำงานของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันไม่รู้ภาษามนุษย์ คุณจะทำอย่างไร วิธีไหนดีที่สุดที่จะทำให้มดเข้าใจความหมายของคุณ แน่นอน มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณต้องแปลงเป็นมด ลงไปอยู่กับมดและพูดภาษามด เช่นเดียวกัน นี่คือวิธีที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองต่อมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงพระประสงค์ ความรัก และแผนการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์
สมมุติว่าคุณเป็นคนรักมด และมักใช้เวลาว่างเฝ้าสังเกตการทำงานของมดอยู่เสมอ วันหนึ่งคุณเห็นภัยอันตรายใหล้จะมาถึงมดเหล่านั้น เพราะชาวไร่คนหนึ่งกำลังขุดดินบริเวณนั้นและกำลังจะขุดเอารังมดนั้นไปด้วย ด้วยความรักมดคุณต้องการเตือนภัยที่จะมาถึง คุณตะโกนก็แล้ว ใช้ท่าทางก็แล้วแต่ไม่ได้ผล พวกมดยังคงทำงานของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันไม่รู้ภาษามนุษย์ คุณจะทำอย่างไร วิธีไหนดีที่สุดที่จะทำให้มดเข้าใจความหมายของคุณ แน่นอน มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณต้องแปลงเป็นมด ลงไปอยู่กับมดและพูดภาษามด เช่นเดียวกัน นี่คือวิธีที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองต่อมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงพระประสงค์ ความรัก และแผนการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์
อ้างอิงบทความจาก:christiansiam.com
* การเผยแพร่บทความมีประสงค์ให้ผู้อ่านได้รู้จักพระองค์และได้รับพระพรเท่า นั้นผิดพลาดประการใดขออภัย เจ้าของบทความไม่ประสงค์ให้ใช้เนื้อหานี้โปรดแจ้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น