วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำไมอิสลามไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์

    พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 18 : 18 -19 เราจะโปรดให้บังเกิดผู้เผยพระวจนะอย่างเจ้าในหมู่พวกพี่น้องของเขาและเราจะ ใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขาและเขาจะกล่าวบรรดาสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่ ประชาชนทั้งหลาย ผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเราซึ่งผู้เผยพระวจนะกล่าวในนามของเราเราจะกำหนด โทษผู้นั้นคงไม่สามารถเล่าประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามได้ในที่ นี้เพราะยืดยาวมาก แต่สรุปว่าท่านมูฮัมหมัดได้เห็นความเหลวแหลกของความประพฤติของคนในศาสนา ต่างๆ (ซึ่งรวมถึงพวกศาสนายิว และพวกคริสเตียนด้วย) ในยุคของท่าน ทำให้ท่านมีความเบื่อหน่ายและชอบปลีกวิเวกออกไปอยู่คนเดียวตามถ้ำจนกระทั่ง ท่านอ้างว่าท่านได้รับโองการจากพระเจ้าโดยตรงถือเป็นหลักคำสอนใหม่ที่อิงราก ฐานมาจากศาสนายิว

     ตามประวัติท่านเป็นคนที่ไม่มีการศึกษาทำให้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แต่ความรู้ ที่ท่านอ้างว่าท่านได้รับจากพระเจ้านั้นมีความละเอียดลึกซึ้งและวิจิตรพิศ ดารมากเกินกว่าจะเชื่อได้ว่านั่นคือสิ่งที่คนไม่มีการศึกษาจะเผยสำแดงออกมา ได้ จึงมีคนศรัทธาท่านมาก

         หลักอิสลามกล่าวว่ามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดพระองค์เดียวมีนามว่าพระอัล เลาะห์ ซึ่งก็คือพระเยโฮวาห์ของยิวและพระบิดาของคริสเตียนนั่นเอง แต่อิสลามยืนยันว่าพระเจ้าไม่มีบุตร มีแต่ศาสนฑูตของพระเจ้า (เรียกว่า นบี) เท่านั้นที่ทำการเผยพระวจนะของพระเจ้าบนโลกนี้ ดังนั้นอิสลามจึงนับถือพระเยซูคริสต์ในฐานะของศาสนฑูตองค์หนึ่งเหมือนท่าน ศาสดามูฮัมหมัด สำหรับอิสลามแล้วศาสนฑูตองค์แรกคือนบีมูซา (โมเสส) ถัดมาคือนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม) ไล่เลียงกันมาจนถึงนบีอีซา(พระเยซู)ผู้เป็นบุตรของท่านหญิงมัรยัม(นางมาเรีย ) มาจบลงที่นบีมูฮัมหมัดเป็นศาสนฑูตองค์สุดท้ายที่พระเจ้าส่งมาเพื่อทำให้คำ สอนที่ถูกบิดเบือนไปนั้นกลับมาตรงดังเดิม

           อิสลามเชื่อว่ามีวันพิพากษาโลก มีจุดจบของยุคสมัย และในการพิพากษานั้นพระเจ้าจะส่งนบีอีซา (พระเยซูของเรา) เข้ามาเป็นผู้ตัดสินพิพากษา ดังนั้นอิสลามจึงยกย่องว่านบีอีซา(พระเยซู)เป็นนบีที่พิเศษกว่านบีองค์อื่น แต่แม้กระนั้นก็ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคือพระบุตรอยู่ดีเพราะเชื่อฝังหัวว่าพระ เจ้าสูงสุดคือพระเจ้าเดียว พระเจ้าไม่มีเมียและไม่มีลูก ดังนั้นพระเยซูจึงเป็นเพียงนบีหรือผู้เผยพระวจนะหรือศาสนฑูตองค์พิเศษเท่า นั้น... อย่างไรก็ตามในอัลกุรอานได้มีเขียนไว้ชัดเจนว่าท่านหญิงมัรยัมผู้เป็นมารดา ของนบีอีซา(พระเยซู)ได้ตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่ได้มีสามีแต่เป็นการอัศจรรย์ ของพระเจ้า และคลอดออกมาเป็นนบีอีซา(เยซู) ดังนั้นนบีอีซาจึงเป็นนบีพิเศษกว่านบีองค์ใดๆ... การเกิดของนบีอีซาจากแม่ผู้เป็นพรหมจารีนี้เป็นเรื่องที่ตรงกับพระคัมภีร์ ใหม่ของคริสเตียน

          อิสลามยึดโองการที่พระเจ้าเผยสำแดงผ่านนบีมูฮัมหมัดเป็นหลักโดยถือว่าเป็น โองการใหม่ล่าสุดที่พระเจ้าทรงส่งมาโดยตรงไม่ถูกใครบิดเบือน โองการดังกล่าวได้ถูกจารึกไว้เรียกว่าโกราน หรืออัลกุราน อิสลามยอมรับพระคัมภีร์เดิมห้าเล่มแรกของยิว (เตารอต หรือ โทร่าห์) แต่ไม่ยอมรับพระคัมภีร์ใหม่ โดยเฉพาะไม่ยอมรับว่าทางรอดของมนุษย์มีทางเดียวคือทางพระเยซูคริสต์ อิสลามไม่เชื่อเรื่องพระผู้ไถ่หรือพระผู้ช่วยให้รอดและมีอิสลามจำนวนไม่น้อย ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ตายบนไม้กางเขนแต่เชื่อว่ามีการสลับคนกันกับพระ เยซูเมื่อถูกตรึง อิสลามสอนให้ปฏิบัติตามอัลกุรอานอย่างเคร่งครัดที่สุด ดังนั้นจึงต้องมีอาจารย์ผู้สอนพระคัมภีร์จำนวนมากเพื่อสอนให้คนทั้งหลายรู้ วิธีปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง อิสลามเป็นทั้งศาสนาและเป็นทั้งวิถีชีวิตของคนที่เกิดมาเป็นอิสลาม ศาสนาอิสลามกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางสังคมและการปกครอง เหมือนคนที่เกิดในเมืองไทยก็จะรู้สึกว่าคนไทยต้องถือพุทธเท่านั้นทั้งๆที่ มนุษย์ทุกคนควรมีท่าทีว่าตัวเองเป็นมนุษย์แห่งจักรวาลไม่ใช่มนุษย์แห่ง ประเทศท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งอย่างแคบๆ... ขอให้เตือนใจตนเองว่า สัจจธรรมแท้จริงของพระเจ้าอยู่สูงกว่าการจัดระเบียบอำนาจทางการเมืองของ มนุษย์เป็นไหนๆ...

              อิสลามยุคแรกใช้การบังคับด้วยอาวุธให้คนเข้ารับอิสลามเป็นศาสนาหากไม่รับ ต้องตาย ซึ่งเป็นวิธีการเผยแผ่ศาสนาไปพร้อมกับการจัดระเบียบทางอำนาจการเมืองการ ปกครองไปด้วยในตัว ซึ่งก็ได้ทำให้ดินแดนอาหรับเกิดความสงบขึ้นได้ทันทีเพราะคนทั้งหลายถือศาสนา เดียวกันและถือว่าทุกคนที่เป็นอิสลามเป็นพี่น้องกัน การเข้าเป็นอิสลามนั้นก็คือหากเป็นชายต้องเข้าสุนัต และต้องรับว่าพระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าเดียว กับรับว่านบีมูฮัมหมัดเป็นศาสนฑูตองค์สุดท้ายซึ่งหากนบีมูฮัมหมัดสั่งสอน อะไรก็ให้มนุษย์ทั้งหลายฟังและเชื่อท่าน มีการอ้างกลับไปในสมัยพระคัมภีร์เดิมของยิวด้วยว่านบีมูฮัมหมัดคือผู้เผยพระ วจนะที่โมเสสได้กล่าวไว้ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 18:18-19… “18 เราจะโปรดให้บังเกิดผู้เผยพระวจนะอย่างเจ้าในหมู่พวกพี่น้องของเขา และเราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขา และเขาจะกล่าวบรรดาสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่ประชาชนทั้งหลาย 19 ผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา ซึ่งผู้เผยพระวจนะกล่าวในนามของเรา เราจะกำหนดโทษผู้นั้น” อิสลามกล่าวว่าพระสัญญาข้อนี้สำเร็จเป็นจริงแล้วในนบีมูฮัมหมัด ทุกคนจึงต้องนับถือนบีมูฮัมหมัด ในขณะที่คริสเตียนบอกว่าพระสัญญานี้สำเร็จไปแล้วในพระเยซูคริสต์... นี่แหละมันจึงยุ่ง.... ข้อพระคัมภีร์ของศาสนายิวข้อเดียวนี้เชื่อมโยงทั้งสามศาสนาให้พันกันอย่าง แยกกันไม่หลุด... นบีมูฮัมหมัดสืบสายมาจากอิสมาเอลลูกนางฮาการ์ผู้เป็นหญิงรับใช้ของซาราห์และ เป็นเมียทาสของอับราฮัม ส่วนพระเยซูคริสต์สืบสายมาจากอิสอัคผู้เป็นบุตรโดยตรงของนางซาราห์กับอับรา ฮัมผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะเป็นชนชาติของพระเจ้า...

            อิสลามไม่เชื่อในหลักตรีเอกานุภาพ ดังนั้นจึงไม่เชื่อเรื่องพระบุตร และไม่เชื่อเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย ... แก่นหลักของศาสนาคริสเตียนคือเรื่องความรอดทางพระเยซูคริสต์ ความรัก และการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส(ในทุกด้านของชีวิต)โดยพระเยซูคริสต์ แก่นหลักของอิสลามคือสันติสุขที่มาจากพระเจ้าโดยการปฏิบัติตามคำสอนในอัลกุ รอาน การไปสู่ความรอดของอิสลามกับของพระพุทธศาสนาคล้ายกันตรงที่มนุษย์ต้องลงมือ กระทำการปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่กล่าวไว้อย่างตายตัว สำหรับอิสลามก็เพื่อบรรลุผลที่พระเจ้าชอบพระทัย และสำหรับพระพุทธศาสนาก็เพื่อหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นซึ่งทำให้พ้นจาก สังสารวัฏฏ์ แต่สำหรับศาสนา คริสเตียนเชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์จะต้องกระทำให้ตัวเองหลุดพ้นนั้นไม่มีทางทำ ได้ ดังนั้นพระเจ้าจะทรงกระทำเอง พระองค์จึงได้มอบภาระกิจนี้ให้แก่พระเยซูเป็นผู้ทรงกระทำแทนเราทั้งหมด เพียงแต่เรารับเอาพระองค์ไว้เราก็รอดได้...

            สำหรับเราผู้เป็นคริสเตียน... ขอให้เรานับพระพรที่ได้รับจากพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอให้เราตอบคำถามตัวว่าเราได้รับฤทธิ์อำนาจในการรักษาโรคจากใคร เราได้รับสันติสุขภายในจากใคร เราได้รับความเล้าโลมใจจากใคร เราอธิษฐานต่อใคร และใครตอบคำอธิษฐานของเรา... ถ้าทำได้ลองท้าทายให้ใครก็ตามที่ไม่เชื่อเรื่องพระเยซูคริสต์ (ศาสนาใดๆก็ตาม) เข้าห้องส่วนตัวแล้วลองอธิษฐานเป็นความลับต่อพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อและ ถ่อมใจ แล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเขา ให้เขาเขียนวันที่อธิษฐานและวันที่ได้รับคำตอบการอธิษฐานของเขาดูเอง เขาจะรู้สึกอัศจรรย์ใจ...

        ผมเชื่อว่าพระเจ้าคงประทานความรู้และโองการแห่งความดีงามให้ท่านนบีมูฮัม หมัดนำไปประพฤติปฏิบัติจริงแต่ผมเชื่อว่าความรอดของพระเจ้ามาทางอิสอัคไม่ ใช่มาทางอิสมาเอล เพราะอิสอัคเกิดโดยพระสัญญาของพระเจ้า แต่อิสมาเอลเกิดโดยอารมณ์อันปั่นป่วนและการหาทางออกเองโดยมนุษย์เมื่อนางซา ราห์หาทางให้อับราฮัมมีลูกกับสาวใช้แทนการรอคอยพระเจ้า... อิสอัสเป็นผลแท้ของพระสัญญาของพระเจ้า ส่วนอิสมาเอลเป็นผ

         และในเมื่อทั้งศาสนาคริสเตียนและศาสนาอิสลามเชื่อว่าในวันพิพากษาโลกนั้นพระ เยซูคริสต์ (หรือนบีอีซา) จะเสด็จเข้ามาเป็นผู้ตัดสินเรา ทำไมวันนี้เราจึงปฏิเสธไม่ยอมรับนับถือและไม่สักการะพระองค์เล่า? (มีมุสลิมคนหนึ่งที่อินโดนีเซียเปลี่ยนมาเข้าคริสเตียนด้วยเหตุผลนี้มา แล้ว)... ถ้าพระเจ้าวางใจในการตัดสินโลกของพระเยซูคริสต์ (หรือนบีอีซา) ก็แสดงว่าพระปัญญาและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ (หรือนบีอีซา) ก็คือพระปัญญาและฤทธิ์เดชขององค์พระเจ้าสูงสุดนั่นเอง... เช่นนี้แล้วทำไมเราจึงไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์หรือนบีอีซาแท้จริงแล้วก็คือ องค์พระเจ้าผู้เคยเข้ามาคลุกคลีกับมนุษย์เล่า
ลของกำลังปัญญามนุษย์...

แหล่งที่มา:www.nakhonsawanchurch.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น