พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 18 : 18 -19
เราจะโปรดให้บังเกิดผู้เผยพระวจนะอย่างเจ้าในหมู่พวกพี่น้องของเขาและเราจะ
ใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขาและเขาจะกล่าวบรรดาสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่
ประชาชนทั้งหลาย
ผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเราซึ่งผู้เผยพระวจนะกล่าวในนามของเราเราจะกำหนด
โทษผู้นั้นคงไม่สามารถเล่าประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามได้ในที่
นี้เพราะยืดยาวมาก
แต่สรุปว่าท่านมูฮัมหมัดได้เห็นความเหลวแหลกของความประพฤติของคนในศาสนา
ต่างๆ (ซึ่งรวมถึงพวกศาสนายิว และพวกคริสเตียนด้วย) ในยุคของท่าน
ทำให้ท่านมีความเบื่อหน่ายและชอบปลีกวิเวกออกไปอยู่คนเดียวตามถ้ำจนกระทั่ง
ท่านอ้างว่าท่านได้รับโองการจากพระเจ้าโดยตรงถือเป็นหลักคำสอนใหม่ที่อิงราก
ฐานมาจากศาสนายิว
ตามประวัติท่านเป็นคนที่ไม่มีการศึกษาทำให้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แต่ความรู้ ที่ท่านอ้างว่าท่านได้รับจากพระเจ้านั้นมีความละเอียดลึกซึ้งและวิจิตรพิศ ดารมากเกินกว่าจะเชื่อได้ว่านั่นคือสิ่งที่คนไม่มีการศึกษาจะเผยสำแดงออกมา ได้ จึงมีคนศรัทธาท่านมาก
หลักอิสลามกล่าวว่ามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดพระองค์เดียวมีนามว่าพระอัล
เลาะห์ ซึ่งก็คือพระเยโฮวาห์ของยิวและพระบิดาของคริสเตียนนั่นเอง
แต่อิสลามยืนยันว่าพระเจ้าไม่มีบุตร มีแต่ศาสนฑูตของพระเจ้า (เรียกว่า นบี)
เท่านั้นที่ทำการเผยพระวจนะของพระเจ้าบนโลกนี้
ดังนั้นอิสลามจึงนับถือพระเยซูคริสต์ในฐานะของศาสนฑูตองค์หนึ่งเหมือนท่าน
ศาสดามูฮัมหมัด สำหรับอิสลามแล้วศาสนฑูตองค์แรกคือนบีมูซา (โมเสส)
ถัดมาคือนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม)
ไล่เลียงกันมาจนถึงนบีอีซา(พระเยซู)ผู้เป็นบุตรของท่านหญิงมัรยัม(นางมาเรีย
)
มาจบลงที่นบีมูฮัมหมัดเป็นศาสนฑูตองค์สุดท้ายที่พระเจ้าส่งมาเพื่อทำให้คำ
สอนที่ถูกบิดเบือนไปนั้นกลับมาตรงดังเดิม
อิสลามเชื่อว่ามีวันพิพากษาโลก มีจุดจบของยุคสมัย
และในการพิพากษานั้นพระเจ้าจะส่งนบีอีซา (พระเยซูของเรา)
เข้ามาเป็นผู้ตัดสินพิพากษา
ดังนั้นอิสลามจึงยกย่องว่านบีอีซา(พระเยซู)เป็นนบีที่พิเศษกว่านบีองค์อื่น
แต่แม้กระนั้นก็ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคือพระบุตรอยู่ดีเพราะเชื่อฝังหัวว่าพระ
เจ้าสูงสุดคือพระเจ้าเดียว พระเจ้าไม่มีเมียและไม่มีลูก
ดังนั้นพระเยซูจึงเป็นเพียงนบีหรือผู้เผยพระวจนะหรือศาสนฑูตองค์พิเศษเท่า
นั้น...
อย่างไรก็ตามในอัลกุรอานได้มีเขียนไว้ชัดเจนว่าท่านหญิงมัรยัมผู้เป็นมารดา
ของนบีอีซา(พระเยซู)ได้ตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่ได้มีสามีแต่เป็นการอัศจรรย์
ของพระเจ้า และคลอดออกมาเป็นนบีอีซา(เยซู)
ดังนั้นนบีอีซาจึงเป็นนบีพิเศษกว่านบีองค์ใดๆ...
การเกิดของนบีอีซาจากแม่ผู้เป็นพรหมจารีนี้เป็นเรื่องที่ตรงกับพระคัมภีร์
ใหม่ของคริสเตียน
อิสลามยึดโองการที่พระเจ้าเผยสำแดงผ่านนบีมูฮัมหมัดเป็นหลักโดยถือว่าเป็น
โองการใหม่ล่าสุดที่พระเจ้าทรงส่งมาโดยตรงไม่ถูกใครบิดเบือน
โองการดังกล่าวได้ถูกจารึกไว้เรียกว่าโกราน หรืออัลกุราน
อิสลามยอมรับพระคัมภีร์เดิมห้าเล่มแรกของยิว (เตารอต หรือ โทร่าห์)
แต่ไม่ยอมรับพระคัมภีร์ใหม่
โดยเฉพาะไม่ยอมรับว่าทางรอดของมนุษย์มีทางเดียวคือทางพระเยซูคริสต์
อิสลามไม่เชื่อเรื่องพระผู้ไถ่หรือพระผู้ช่วยให้รอดและมีอิสลามจำนวนไม่น้อย
ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ตายบนไม้กางเขนแต่เชื่อว่ามีการสลับคนกันกับพระ
เยซูเมื่อถูกตรึง อิสลามสอนให้ปฏิบัติตามอัลกุรอานอย่างเคร่งครัดที่สุด
ดังนั้นจึงต้องมีอาจารย์ผู้สอนพระคัมภีร์จำนวนมากเพื่อสอนให้คนทั้งหลายรู้
วิธีปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
อิสลามเป็นทั้งศาสนาและเป็นทั้งวิถีชีวิตของคนที่เกิดมาเป็นอิสลาม
ศาสนาอิสลามกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางสังคมและการปกครอง
เหมือนคนที่เกิดในเมืองไทยก็จะรู้สึกว่าคนไทยต้องถือพุทธเท่านั้นทั้งๆที่
มนุษย์ทุกคนควรมีท่าทีว่าตัวเองเป็นมนุษย์แห่งจักรวาลไม่ใช่มนุษย์แห่ง
ประเทศท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งอย่างแคบๆ... ขอให้เตือนใจตนเองว่า
สัจจธรรมแท้จริงของพระเจ้าอยู่สูงกว่าการจัดระเบียบอำนาจทางการเมืองของ
มนุษย์เป็นไหนๆ...
อิสลามยุคแรกใช้การบังคับด้วยอาวุธให้คนเข้ารับอิสลามเป็นศาสนาหากไม่รับ
ต้องตาย
ซึ่งเป็นวิธีการเผยแผ่ศาสนาไปพร้อมกับการจัดระเบียบทางอำนาจการเมืองการ
ปกครองไปด้วยในตัว
ซึ่งก็ได้ทำให้ดินแดนอาหรับเกิดความสงบขึ้นได้ทันทีเพราะคนทั้งหลายถือศาสนา
เดียวกันและถือว่าทุกคนที่เป็นอิสลามเป็นพี่น้องกัน
การเข้าเป็นอิสลามนั้นก็คือหากเป็นชายต้องเข้าสุนัต
และต้องรับว่าพระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าเดียว
กับรับว่านบีมูฮัมหมัดเป็นศาสนฑูตองค์สุดท้ายซึ่งหากนบีมูฮัมหมัดสั่งสอน
อะไรก็ให้มนุษย์ทั้งหลายฟังและเชื่อท่าน
มีการอ้างกลับไปในสมัยพระคัมภีร์เดิมของยิวด้วยว่านบีมูฮัมหมัดคือผู้เผยพระ
วจนะที่โมเสสได้กล่าวไว้ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 18:18-19… “18
เราจะโปรดให้บังเกิดผู้เผยพระวจนะอย่างเจ้าในหมู่พวกพี่น้องของเขา
และเราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขา
และเขาจะกล่าวบรรดาสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่ประชาชนทั้งหลาย 19
ผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา ซึ่งผู้เผยพระวจนะกล่าวในนามของเรา
เราจะกำหนดโทษผู้นั้น”
อิสลามกล่าวว่าพระสัญญาข้อนี้สำเร็จเป็นจริงแล้วในนบีมูฮัมหมัด
ทุกคนจึงต้องนับถือนบีมูฮัมหมัด
ในขณะที่คริสเตียนบอกว่าพระสัญญานี้สำเร็จไปแล้วในพระเยซูคริสต์...
นี่แหละมันจึงยุ่ง....
ข้อพระคัมภีร์ของศาสนายิวข้อเดียวนี้เชื่อมโยงทั้งสามศาสนาให้พันกันอย่าง
แยกกันไม่หลุด...
นบีมูฮัมหมัดสืบสายมาจากอิสมาเอลลูกนางฮาการ์ผู้เป็นหญิงรับใช้ของซาราห์และ
เป็นเมียทาสของอับราฮัม
ส่วนพระเยซูคริสต์สืบสายมาจากอิสอัคผู้เป็นบุตรโดยตรงของนางซาราห์กับอับรา
ฮัมผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะเป็นชนชาติของพระเจ้า...
อิสลามไม่เชื่อในหลักตรีเอกานุภาพ ดังนั้นจึงไม่เชื่อเรื่องพระบุตร
และไม่เชื่อเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย ...
แก่นหลักของศาสนาคริสเตียนคือเรื่องความรอดทางพระเยซูคริสต์ ความรัก
และการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส(ในทุกด้านของชีวิต)โดยพระเยซูคริสต์
แก่นหลักของอิสลามคือสันติสุขที่มาจากพระเจ้าโดยการปฏิบัติตามคำสอนในอัลกุ
รอาน
การไปสู่ความรอดของอิสลามกับของพระพุทธศาสนาคล้ายกันตรงที่มนุษย์ต้องลงมือ
กระทำการปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่กล่าวไว้อย่างตายตัว
สำหรับอิสลามก็เพื่อบรรลุผลที่พระเจ้าชอบพระทัย
และสำหรับพระพุทธศาสนาก็เพื่อหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นซึ่งทำให้พ้นจาก
สังสารวัฏฏ์ แต่สำหรับศาสนา
คริสเตียนเชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์จะต้องกระทำให้ตัวเองหลุดพ้นนั้นไม่มีทางทำ
ได้ ดังนั้นพระเจ้าจะทรงกระทำเอง
พระองค์จึงได้มอบภาระกิจนี้ให้แก่พระเยซูเป็นผู้ทรงกระทำแทนเราทั้งหมด
เพียงแต่เรารับเอาพระองค์ไว้เราก็รอดได้...
สำหรับเราผู้เป็นคริสเตียน...
ขอให้เรานับพระพรที่ได้รับจากพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
ขอให้เราตอบคำถามตัวว่าเราได้รับฤทธิ์อำนาจในการรักษาโรคจากใคร
เราได้รับสันติสุขภายในจากใคร เราได้รับความเล้าโลมใจจากใคร
เราอธิษฐานต่อใคร และใครตอบคำอธิษฐานของเรา...
ถ้าทำได้ลองท้าทายให้ใครก็ตามที่ไม่เชื่อเรื่องพระเยซูคริสต์
(ศาสนาใดๆก็ตาม)
เข้าห้องส่วนตัวแล้วลองอธิษฐานเป็นความลับต่อพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อและ
ถ่อมใจ แล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเขา
ให้เขาเขียนวันที่อธิษฐานและวันที่ได้รับคำตอบการอธิษฐานของเขาดูเอง
เขาจะรู้สึกอัศจรรย์ใจ...
ผมเชื่อว่าพระเจ้าคงประทานความรู้และโองการแห่งความดีงามให้ท่านนบีมูฮัม
หมัดนำไปประพฤติปฏิบัติจริงแต่ผมเชื่อว่าความรอดของพระเจ้ามาทางอิสอัคไม่
ใช่มาทางอิสมาเอล เพราะอิสอัคเกิดโดยพระสัญญาของพระเจ้า
แต่อิสมาเอลเกิดโดยอารมณ์อันปั่นป่วนและการหาทางออกเองโดยมนุษย์เมื่อนางซา
ราห์หาทางให้อับราฮัมมีลูกกับสาวใช้แทนการรอคอยพระเจ้า...
อิสอัสเป็นผลแท้ของพระสัญญาของพระเจ้า
ส่วนอิสมาเอลเป็นผ
และในเมื่อทั้งศาสนาคริสเตียนและศาสนาอิสลามเชื่อว่าในวันพิพากษาโลกนั้นพระ
เยซูคริสต์ (หรือนบีอีซา) จะเสด็จเข้ามาเป็นผู้ตัดสินเรา
ทำไมวันนี้เราจึงปฏิเสธไม่ยอมรับนับถือและไม่สักการะพระองค์เล่า?
(มีมุสลิมคนหนึ่งที่อินโดนีเซียเปลี่ยนมาเข้าคริสเตียนด้วยเหตุผลนี้มา
แล้ว)... ถ้าพระเจ้าวางใจในการตัดสินโลกของพระเยซูคริสต์ (หรือนบีอีซา)
ก็แสดงว่าพระปัญญาและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ (หรือนบีอีซา)
ก็คือพระปัญญาและฤทธิ์เดชขององค์พระเจ้าสูงสุดนั่นเอง...
เช่นนี้แล้วทำไมเราจึงไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์หรือนบีอีซาแท้จริงแล้วก็คือ
องค์พระเจ้าผู้เคยเข้ามาคลุกคลีกับมนุษย์เล่า
ลของกำลังปัญญามนุษย์...แหล่งที่มา:www.nakhonsawanchurch.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น